ถึงลูกรักในวัยเรียน
การปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมหรือค่านิยมบางสิ่งบางอย่างต้องอาศัยเวลา โดยเฉพาะวัฒนธรรมดั้งเดิมที่เรามีและเป็นอยู่มานาน เพราะความเจริญของการสื่อสารทันสมัยขึ้นทำให้พลเมืองโลกแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและค่านิยมได้อย่างไม่จำกัดโดยเฉพาะสิทธิส่วนบุคคล หรือสิทธิมนุษย์ชนที่มีเสรีภาพมากขึ้น แต่ถึงอย่างไรก็ตามก็ต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์และเงื่อนไขของสังคมกลุ่มคนรวม
เพื่อให้ลูก และเด็กๆรุ่นใหม่ มีมุมมองเพิ่มขึ้น โดยมีแนวคิดว่า " การใช้ชีวิตอยู่ในสังคม มันไม่ได้ง่ายอย่างที่เราคิด" โดยเฉพาะวัฒนธรรมของการยอมรับสถานทางสังคม ไม่ว่าจะเป็นการเรียน การทำงาน ซึ่งโดยส่วนตัวเราคิดว่าความสามารถในการเรียนรู้ ความสามารถในการทำงานหรือแม้แต่การมีทักษะการใช้ชีวิต
,,🔄🙋
สิ่งที่เป็นตัวชี้วัดที่ถูกต้องนั้นก็คือความสามารถในด้านการทำงานจริงๆนำมาใช้ในชีวิตจริงได้แก้ปัญหาได้ สามารถคาดการวางแผนได้ นี่คือความสามารถเฉพาะตัว แต่ในความเป็นจริงในสังคมปัจจุบันเรา ต้องมีการประกาศด้วยกระดาษ ด้วยลายลักษณ์อักษร ว่าเป็นบุคคลที่มีความสามารถ ถึงแม้คนที่มีใบแจ้งแถลงไขว่ามีความสามารถเหล่านี้ไม่ได้การันตีว่าจะสามารถแก้ปัญหาได้หรือมีความสามารถตามมาตรฐานที่กำหนดจริง แต่มันเป็นเครื่องหมายที่สังคมยอมรับ
,🌸🌸🌸
วัฒนธรรมดั้งเดิมที่มีมานานค่านิยมให้ความสำคัญกับคนเก่ง ที่มีแผ่นกระดาษระบุว่ามีความรู้ความสามารถเป็นสิ่งที่สังคมยอมรับ 100% ซึ่งแตกต่างจากในกลุ่มคนที่มีความสามารถ แต่ไม่มีแผ่นกระดาษการันตีว่าเขาสามารถทำงานได้ แล้วทำได้ดีด้วยแต่ในความเป็นจริง ยากที่สังคมจะยอมรับ ถึงจะยอมรับก็โอกาสยากมาก ซึ่งก็น่าจะเป็นอีกเหตุหนึ่งที่ทำให้ยากต่อการแก้ไขปัญหาการเหลื่อมล้ำ
🌼🌼🌼🌼
เมื่อสังคมและวัฒนธรรมของเราวัดความสามารถของคนแค่การทำข้อสอบไม่กี่ข้อ ประเมินความสามารถของคนด้วยวิถีชีวิตเดิมซึ่งขัดกับการเปลี่ยนแปลงของโลกในปัจจุบัน
🚯🚯🚯
ดังนั้นการที่เราดื้อแพ่งการที่เรามีความคิดมีโลกส่วนตัวสูงการที่เราคิดว่าความสามารถของคนไม่จำเป็นต้องนั่งท่องหนังสือสอบช่วยความจำ การที่เราคิดว่าสมุดพกที่มีตัวเลข 3 และ 4 ไม่ได้มีความหมายกับเรา การที่เราคิดว่าเราอยู่ในฐานะอะไรก็ได้ถ้าเราอยากจะทำงานในอุดมการณ์ที่เรามีอยู่ การที่เราคิดว่ามันต้องมีความยุติธรรมต้องมีความเสมอภาค มันอาจจะเป็นไปได้แต่มันต้องใช้เวลานานแค่ไหน ทุกวันนี้มีการเรียกร้องสิทธิ์มีการรณรงค์หลากหลายด้านวิถีชีวิตก็ยังคงเป็นแบบเดิม วัฒนธรรมก็ยังเป็นแบบเดิม
จากที่พูดมาก็อยากสรุปว่าขณะที่เราคิด สักวันความสามารถเราจะเป็นประโยชน์กับเราเอง ผ่านไป 5 ปี 6 ปี 9 ปี 10 ปี ค่านิยม ก็ยังเป็นแบบเดิม
ฉะนั้นถ้าเราทำความเข้าใจว่าชีวิตที่อยู่ร่วมสังคมที่มีกฎเกณฑ์แบบนี้ ค่านิยมแบบนี้ เราก็แค่ยอมทำตามกติกาตั้งแต่แรก ชีวิตก็คงสำเร็จไปนานแล้วเราต้องยอมรับว่าความสำเร็จในชีวิตบางสายงานมันต้องเดินตามวัฏจักรของมัน ไม่มีซุปเปอร์แมนในสายงาน ไม่มีซุปเปอร์ฮีโร่ในสายงาน สิ่งที่เป็นเครื่องการันตีว่าคุณเป็นคนมีความสามารถก็คือตัวเลขที่อยู่ในใบประกาศเกียรติบัตร รายชื่อที่มีอยู่ในโพยบัญชีผู้สอบติด เท่านั้นถึงจะเลือกอำนวยให้ชีวิตไม่มีสะดุด
ฉะนั้นลูก มีสิทธิ์ที่จะคลิปมีสิทธิ์ชอบมีสิทธิ์ใช้ชีวิตของตัวเองแต่ให้จำคำของหม่าม๊าว่าในสังคมปัจจุบันยังไม่ละทิ้งวัฒนธรรมเดิมๆ ลูกต้องมีตัวเลขสูงในสมุดพก ลูกต้องมีใบประกาศว่าลูกเป็นแบบนั้นแบบนี้ ลูกจะเป็นอะไรก็ตามแต่ลูกต้องเรียนรู้และเข้าใจว่าสังคมต้องการอะไร เราถึงจะอยู่ในสังคมนั้นได้ แล้วเมื่อลูกไปอยู่ตรงจุดนั้นลูกจะทำอะไรก็ได้ ตามใจเลย ดีกว่าที่ลูกเป็นคนเก่งแต่ลูกไม่มีโอกาสอยู่จุดที่สังคมยอมรับ เพราะลูกผ่านกำแพงสังคมไปไม่ได้ลูกก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้เช่นกัน
ลองย้อนคิดที่ลูกถามว่าทำไมความสามารถมีเยอะถึงยังอยู่จุดนี้ไม่ไปทำงานดีๆ ก็อย่างที่บอกมาทั้งหมดมันไม่มีอะไรเป็นการันตีว่าเรานั้นสามารถทำได้ มันไม่มีลายเซ็นของใครบนกระดาษว่าเรานั้น ทำอะไรได้บ้าง
⭕🙅ในชีวิตของมาม่ามันแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว มันไม่ทัน
👩👧👦🙇แต่ชีวิตของลูกยังสามารถกำหนดรากฐาน เพื่ออนาคตได้อย่างสบาย
จงจำไว้ไม่ว่าอยากจะเป็นอะไรก็ตาม
จงไปเอาการ์ดพื้นฐานความสำเร็จ ให้ได้ก่อน
🙅⭕กระดาษที่มีตัวเลข 3 และ 4 ถ้า 4 ทั้งหมดก็จะดี และอีกอย่างก็คือกระดาษที่ระบุวิชาความรู้ที่จะต้องใช้ตามกฎเกณฑ์อาชีพที่ลูกอยากจะเป็น .....
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
ยินดีรับข้อเสนอแนะ