วันพุธที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2563

edu overload

สำหรับบางคนอาจทราบปัญหาแล้ว ในขณะที่หลายๆ คน หลายๆโรงเรียน ยังไม่ทราบที่มาของปัญหาความล่าช้าเกี่ยวกับเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอน จะพูดถึง เครื่องมือสำคัญพื้นฐานที่ใช้อยู่ในชีวิตประจำวันนี้ ...

ย้อนไปเมื่อปี 2557 มีโครงการพัฒนาบุคลากรทางการศึกษาที่จังหวัดพิษณุโลก ระยะเวลา 4 วันซึ่งการประชุมเชิงปฏิบัติการดังกล่าว เป็นการประชุมระดับผู้บริหารสถานศึกษา ทั่วประเทศโดยความร่วมมือของ มหาวิทยาลัยนเรศวร พิษณุโลก ซึ่งการประชุมดังกล่าวถือว่าเป็นการ startup เทคโนโลยีเกี่ยวกับการศึกษาโดยเฉพาะ ทั้งนี้การขยายผลดังกล่าวทางผู้จัดงานได้ส่งข้อมูลต่างๆ รวมถึงคู่มือ เข้าอีเมลของผู้อำนวยการโรงเรียนและผู้ที่เข้าร่วมประชุม .....แต่ในการศึกษาไทยหรือระบบการบริหารงานต่างๆนั้นยังอิงรูปแบบเดิม คือผู้อำนวยการเป็นใหญ่ ในขณะที่ไม่ได้แยกและคำนึงถึง การบริหารจัดการด้านเทคโนโลยีซึ่งจะต้องอาศัยผู้ที่มีความชำนาญ ซึ่งแต่ละโรงเรียนอาจจะเป็นครูคอมพิวเตอร์หรือผู้ที่มีความรู้ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศสามารถใช้เครื่องมือได้   ทั้งนี้ทั้งนั้น โครงสร้างของการบริหารงานในองค์กรต่างๆ นั้น จะแตกต่าง กับโครงสร้างการบริหารงานอิเล็กทรอนิกส์ สาระสำคัญคือแอดมินจะต้องมีความรู้การเขียนโปรแกรมมันจึงจะสำเร็จ   แต่ที่ผ่านมานั้นส่วนใหญ่ admin จะเป็นผู้อำนวยการไม่ว่าจะโครงการอะไรก็ตามที่ผ่านมา โรงเรียนส่วนใหญ่จะให้ผู้อำนวยการเป็น admin และข้อมูลต่างๆ จะใช้อีเมลของผู้ที่อบรม ไปผูกติดกับโปรแกรมและทรัพยากรที่ได้รับทำให้ขาดการประสานงานและการบริหารจัดการทรัพยากรนั้นๆอย่างต่อเนื่อง  ยกตัวอย่างให้เห็น สำหรับการตั้งค่า ปกติแล้วจะเป็นภาษาอังกฤษเลยทำให้เห็นในรูปแบบของภาษาไทยจะได้เข้าใจว่าเราต้องแยกระหว่างองค์กรที่มีอยู่จริงกับผู้บริหารจัดการองค์กรที่มันอยู่ในระบบ ทั้งนี้ส่วนใหญ่ถ้ามีระบบงานต่างๆเราจะใช้อีเมลของผู้บริหารขึ้นเป็นแอดมินหลักหรือเป็นผู้ดูแลระบบ 

ซึ่งอีเมลจะผูกโยงไปกับทรัพยากรที่เราได้รับการอบรมหรือได้รับมาจาก partner ต้นทางจะส่งการตั้งค่าต่างๆมายังอีเมล์ลองนึกดูว่าเมื่ออีเมลไปถึงผู้บริหารแล้วจะว่าหรือภาษาคอมพิวเตอร์ต่างๆโดยหยุดอยู่กับที่ ประกอบกับโครงสร้างของระบบบริหารไทยผู้น้อยมีมารยาทพอที่จะไม่นำเสนอเรื่องสำคัญต่างๆหรือผู้ที่วางตัวที่เป็นผู้บริหารที่แก่งก็คงไม่สามารถยอมรับได้หากจะให้ครูหรือบุคลากรอื่นเป็นแอดมินควบคุมระบบต่างๆที่ต้องใช้ความสามารถพิเศษในการทำ ..เหมือนดูว่าจะไม่ใช่ปัญหาเพราะมันไม่มีปัญหาที่ไม่มีปัญหาเพราะไม่มีการลงมือทำ พอไม่มีการลงมือทำ อุปสรรคก็ไม่มีแต่ถามว่าสุดท้ายแล้วมีทรัพยากรใช้หรือไม่

วันอังคารที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2563

ถึงลูกรักในวัยเรียน

ถึงลูกรักในวัยเรียน
การปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมหรือค่านิยมบางสิ่งบางอย่างต้องอาศัยเวลา  โดยเฉพาะวัฒนธรรมดั้งเดิมที่เรามีและเป็นอยู่มานาน เพราะความเจริญของการสื่อสารทันสมัยขึ้นทำให้พลเมืองโลกแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและค่านิยมได้อย่างไม่จำกัดโดยเฉพาะสิทธิส่วนบุคคล หรือสิทธิมนุษย์ชนที่มีเสรีภาพมากขึ้น  แต่ถึงอย่างไรก็ตามก็ต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์และเงื่อนไขของสังคมกลุ่มคนรวม 

เพื่อให้ลูก และเด็กๆรุ่นใหม่ มีมุมมองเพิ่มขึ้น โดยมีแนวคิดว่า " การใช้ชีวิตอยู่ในสังคม มันไม่ได้ง่ายอย่างที่เราคิด" โดยเฉพาะวัฒนธรรมของการยอมรับสถานทางสังคม ไม่ว่าจะเป็นการเรียน การทำงาน ซึ่งโดยส่วนตัวเราคิดว่าความสามารถในการเรียนรู้ ความสามารถในการทำงานหรือแม้แต่การมีทักษะการใช้ชีวิต

,,🔄🙋
สิ่งที่เป็นตัวชี้วัดที่ถูกต้องนั้นก็คือความสามารถในด้านการทำงานจริงๆนำมาใช้ในชีวิตจริงได้แก้ปัญหาได้  สามารถคาดการวางแผนได้ นี่คือความสามารถเฉพาะตัว แต่ในความเป็นจริงในสังคมปัจจุบันเรา ต้องมีการประกาศด้วยกระดาษ ด้วยลายลักษณ์อักษร ว่าเป็นบุคคลที่มีความสามารถ ถึงแม้คนที่มีใบแจ้งแถลงไขว่ามีความสามารถเหล่านี้ไม่ได้การันตีว่าจะสามารถแก้ปัญหาได้หรือมีความสามารถตามมาตรฐานที่กำหนดจริง แต่มันเป็นเครื่องหมายที่สังคมยอมรับ 
,🌸🌸🌸
วัฒนธรรมดั้งเดิมที่มีมานานค่านิยมให้ความสำคัญกับคนเก่ง  ที่มีแผ่นกระดาษระบุว่ามีความรู้ความสามารถเป็นสิ่งที่สังคมยอมรับ 100%  ซึ่งแตกต่างจากในกลุ่มคนที่มีความสามารถ แต่ไม่มีแผ่นกระดาษการันตีว่าเขาสามารถทำงานได้ แล้วทำได้ดีด้วยแต่ในความเป็นจริง ยากที่สังคมจะยอมรับ ถึงจะยอมรับก็โอกาสยากมาก  ซึ่งก็น่าจะเป็นอีกเหตุหนึ่งที่ทำให้ยากต่อการแก้ไขปัญหาการเหลื่อมล้ำ

🌼🌼🌼🌼
เมื่อสังคมและวัฒนธรรมของเราวัดความสามารถของคนแค่การทำข้อสอบไม่กี่ข้อ ประเมินความสามารถของคนด้วยวิถีชีวิตเดิมซึ่งขัดกับการเปลี่ยนแปลงของโลกในปัจจุบัน  
🚯🚯🚯
ดังนั้นการที่เราดื้อแพ่งการที่เรามีความคิดมีโลกส่วนตัวสูงการที่เราคิดว่าความสามารถของคนไม่จำเป็นต้องนั่งท่องหนังสือสอบช่วยความจำ การที่เราคิดว่าสมุดพกที่มีตัวเลข 3 และ 4 ไม่ได้มีความหมายกับเรา  การที่เราคิดว่าเราอยู่ในฐานะอะไรก็ได้ถ้าเราอยากจะทำงานในอุดมการณ์ที่เรามีอยู่ การที่เราคิดว่ามันต้องมีความยุติธรรมต้องมีความเสมอภาค มันอาจจะเป็นไปได้แต่มันต้องใช้เวลานานแค่ไหน ทุกวันนี้มีการเรียกร้องสิทธิ์มีการรณรงค์หลากหลายด้านวิถีชีวิตก็ยังคงเป็นแบบเดิม วัฒนธรรมก็ยังเป็นแบบเดิม 
จากที่พูดมาก็อยากสรุปว่าขณะที่เราคิด  สักวันความสามารถเราจะเป็นประโยชน์กับเราเอง ผ่านไป 5 ปี 6 ปี 9 ปี 10 ปี ค่านิยม ก็ยังเป็นแบบเดิม  
ฉะนั้นถ้าเราทำความเข้าใจว่าชีวิตที่อยู่ร่วมสังคมที่มีกฎเกณฑ์แบบนี้ ค่านิยมแบบนี้ เราก็แค่ยอมทำตามกติกาตั้งแต่แรก ชีวิตก็คงสำเร็จไปนานแล้วเราต้องยอมรับว่าความสำเร็จในชีวิตบางสายงานมันต้องเดินตามวัฏจักรของมัน  ไม่มีซุปเปอร์แมนในสายงาน ไม่มีซุปเปอร์ฮีโร่ในสายงาน สิ่งที่เป็นเครื่องการันตีว่าคุณเป็นคนมีความสามารถก็คือตัวเลขที่อยู่ในใบประกาศเกียรติบัตร รายชื่อที่มีอยู่ในโพยบัญชีผู้สอบติด เท่านั้นถึงจะเลือกอำนวยให้ชีวิตไม่มีสะดุด  
ฉะนั้นลูก มีสิทธิ์ที่จะคลิปมีสิทธิ์ชอบมีสิทธิ์ใช้ชีวิตของตัวเองแต่ให้จำคำของหม่าม๊าว่าในสังคมปัจจุบันยังไม่ละทิ้งวัฒนธรรมเดิมๆ  ลูกต้องมีตัวเลขสูงในสมุดพก ลูกต้องมีใบประกาศว่าลูกเป็นแบบนั้นแบบนี้ ลูกจะเป็นอะไรก็ตามแต่ลูกต้องเรียนรู้และเข้าใจว่าสังคมต้องการอะไร เราถึงจะอยู่ในสังคมนั้นได้ แล้วเมื่อลูกไปอยู่ตรงจุดนั้นลูกจะทำอะไรก็ได้ ตามใจเลย ดีกว่าที่ลูกเป็นคนเก่งแต่ลูกไม่มีโอกาสอยู่จุดที่สังคมยอมรับ  เพราะลูกผ่านกำแพงสังคมไปไม่ได้ลูกก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้เช่นกัน 
ลองย้อนคิดที่ลูกถามว่าทำไมความสามารถมีเยอะถึงยังอยู่จุดนี้ไม่ไปทำงานดีๆ ก็อย่างที่บอกมาทั้งหมดมันไม่มีอะไรเป็นการันตีว่าเรานั้นสามารถทำได้ มันไม่มีลายเซ็นของใครบนกระดาษว่าเรานั้น ทำอะไรได้บ้าง 
⭕🙅ในชีวิตของมาม่ามันแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว มันไม่ทัน
👩‍👧‍👦🙇แต่ชีวิตของลูกยังสามารถกำหนดรากฐาน เพื่ออนาคตได้อย่างสบาย 
จงจำไว้ไม่ว่าอยากจะเป็นอะไรก็ตาม  
จงไปเอาการ์ดพื้นฐานความสำเร็จ ให้ได้ก่อน
🙅⭕กระดาษที่มีตัวเลข 3 และ 4 ถ้า 4 ทั้งหมดก็จะดี และอีกอย่างก็คือกระดาษที่ระบุวิชาความรู้ที่จะต้องใช้ตามกฎเกณฑ์อาชีพที่ลูกอยากจะเป็น .....